วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

3. การเลือกใช้่โหมด Auto A M P S





โหมด Auto

โหมด Auto นั้น ถือว่าเป็นโหมดที่ใช้งานง่ายที่สุด เพราะกล้องจะตั้งค่า
ทุกอย่างให้ทั้งหมด รวมถึงความไว shutter และค่ารูรับแสง
และกล้องยังตั้งค่าพวก แฟลช , ค่า ISO , White Balance ให้อีกด้วย
ผู้ใช้มีหน้าที่เพียงจัดองค์ประกอบภาพ และกด shutter เท่านั้น
สำหรับตากล้องมือใหม่ มักจะใช้โหมดนี้กัน
แต่โหมด Auto มีข้อจำกัดค่อนข้างเยอะครับ อย่างพวกภาพหน้าชัดหลังเบลอ หรือภาพน้ำตกพริ้วๆ ถ้าใช้โหมด Auto ภาพจะออกมาไม่ค่อยได้ดั่งใจซะเท่าไหร่


โหมด P (Program Auto)

โหมด P ถือว่าคล้ายกับโหมด Auto มากๆ สำหรับผู้ใช้ที่มีความเข้าใจระบบต่างๆ ขึ้นมานิดนึง จะสามารถ
กำหนดค่าได้มากกว่า เช่น การตั้งค่าชดเชยแสง , ค่า ISO , White Balance , แฟลช เป็นต้น
แต่ก็ยังให้กล้องตั้งค่าความไว shutter และค่ารูรับแสงให้อยู่ดีครับ


โหมด A (Aperture Priority)

โหมด A เป็นโหมดที่ตากล้องกำหนดค่ารูรับแสงเอง ว่าอยากให้ได้ F กว้างหรือแคบ
โดยกล้องจะคำนวณปริมาณแสงให้เหมาะสม โดยการกำหนดค่า Shutter Speed ให้อัตโนมัติ
ซึ่งโหมด A จะใช้มากในการถ่ายภาพที่เน้นเรื่องชัดลึก/ชัดตื้น (หน้าชัดหลังเบลอ) เหมาะกับการถ่ายภาพบุคคล,
ภาพวิว, วัตถุที่อยู่นิ่งๆ โดยมีสูตรว่าถ้าต้องการภาพหน้าชัดหลังเบลอ ให้ซูมมากสุด และ F กว้างสุด (เลขน้อยๆ)
อยู่ใกล้แบบมากๆ และเลือกฉากหลัง (Background) ที่อยู่ไกลๆ
ส่วนภาพวิว ให้เลือก F แคบๆ (เลขมากๆ อย่าง f/8 เป็นต้นไป) เพื่อให้ได้ระยะชัดหมดทั้งภาพ



จากภาพตัวอย่างเป็นการถ่ายโดยใช้โหมด A เลือกปรับรูรับแสงที่ f/4 ซึ่งกล้องจะวัดแสงและปรับ shutter speed ให้อยู่ที่ 1/30 วินาทีจะเห็นว่าได้ฉากหลังที่เบลอสวยพอดี



โหมด S (Shutter Speed Priority)

โหมด S เป็นโหมดการทำงานที่สลับกับโหมด A คือเราจะกำหนดค่า shutter speed เอง แล้วให้กล้องตั้งค่ารูรับ
แสงให้อัตโนมัติ โหมดนี้เป็นโหมดที่เน้นเรื่องของความเร็ว/ความช้า เหมาะกับการถ่ายภาพกีฬา, น้ำตก, หยดน้ำ
มีข้อควรระวังนิดนึงว่า ถ้าเลือก shutter speed ต่ำๆ อาจทำให้ภาพที่ได้เบลอ เพราะมือของเราไม่นิ่งพอ วิธีแก้ไข
คือต้องใช้ขาตั้งกล้องช่วย หรือตั้งค่า ISO ให้สูงขึ้น

 






อีกทั้งการถ่ายภาพที่ Shutter speed ต่ำๆ อย่างการถ่ายภาพน้ำตก สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ Tripod และ Filter ซึ่งจะช่วยลดปริมาแสงไม่ให้มากจนเกินไป


โหมด M (Manual)

โหมด M เป็นโหมดที่เกือบจะ advance ที่สุด คือเราต้องเลือกปรับค่า shutter speed และค่ารูรับแสงเองทั้งหมดซึ่งจุดสำคัญอยู่ที่ "การวัดแสง" ซึ่งในตัวกล้องจะมี scale บอกให้เรารู้ว่าค่า shutter และรูรับแสงที่เราตั้งไว้นั้นมันพอดีหรือยัง จากภาพด้านล่าง จะเห็นว่าลูกศรชี้ที่ตำแหน่งเลขศูนย์ หมายถึงค่าที่ตั้งไว้พอดีแล้ว



แต่ทุกสิ่งในโลกนี้ก็ไม่มีอะไรตายตัว อย่างเรื่องการวัดแสงก็เหมือนกันครับ เพราะมีหลักต่อไปอีกว่า ถ้าเราถ่ายภาพที่มีสีขาวเป็นส่วนใหญ่ของภาพ ให้เราชดเชยแสง + เพิ่มด้วยเพราะอะไรหนะเหรอ ก็เพราะว่ากล้องทุกยี่ห้อเค้าได้ทำระบบวัดแสงมาตรฐานไว้ที่สีเทาหนะซิครับ พูดง่ายๆคือ ถ้าเราถ่ายภาพกระดาษสีขาว ภาพที่ได้ออกมาจะกลายเป็นสีเทาเหละ ดังนั้นเพื่อให้ภาพของเราเป็นสีขาวเหมือนเดิม เราต้องชดเชยแสงไปทาง + และในทางกลับกัน ถ้าเราถ่ายภาพกระดาษสีดำ ภาพที่ได้ออกมาจะกลายเป็นกระดาษสีเทา เราก็ต้องชดเชยแสงไปทาง - เพื่อให้ได้กระดาษสีดำเหมือนเดิม ส่วนสีอื่นๆ สามารถดูจาก chart ด้านล่างได้ครับ



แล้วทีนี้การถ่ายภาพแบบไหนที่จะใช้โหมด M จริงๆ แล้วก็สามารถใช้โหมด M ได้กับภาพทุกแบบ แต่จะไม่สะดวก
เพราะต้องมาวัดแสงและปรับค่าตลอดเวลา โหมด M จึงเหมาะกับการถ่ายภาพที่แสงไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก
เช่นการถ่ายภาพในสตูดิโอ ที่ได้มีการเซ็ตไฟไว้แล้ว หรือการถ่ายภาพโดยใช้แฟลชนอก การตั้ง M จะเป็นการควบ คุมความสว่างของวัตถุและฉากหลัง เช่นการถ่ายภาพหลังดำ เป็นต้น



ขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.pattanapan.com/basic_photography2.htm








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น