มิตรรักแฟนๆทั้งหลายร่ำร้องกันมาตั้งแต่มันยังไม่วางตลาดในเมืองไทย แล้วใครเลยจะใจร้ายให้ต้องผิดหวังกัน
เราจะปูพื้นกันด้วยTechnical reviewเสียก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าเจ้ามารน้อยตัวใหม่นี้ทำอะไรได้บ้าง และสำหรับfield test review by RBJ ติดตามได้เลยที่http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=37044 ครับ
Nikon D3000 จัดเป็นกล้อง dSLR ( Digital Single Lens Reflex ) ที่ถูกวางลำดับไว้ให้เป็นกล้องสำหรับผู้เริ่มต้น และด้วยขนาดที่กระทัดรัด ร่วมกับสนนราคาที่น่าสนใจ ก็ย่อมจะทำให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้ที่คิดจะเริ่มต้นกับกล้องdSLR เพราะราคากล้องรวมกับเลนส์ AF-S 18-55mm f/3.5-5.6G VR ยังย่อมเยากว่ากล้องดิจิทัลแนวretroที่กำลังฮือฮากันในปัจจุบัน และเมื่อดูแล้ว ก็อาจจะให้ความรู้สึกในทันทีว่า มิได้มีราคาแพงกว่ากล้องdigital compactบางรุ่นเลยด้วยซ้ำไป
สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับspecของD60 ก็อาจจะบอกว่ามันก็คือ D60ที่กลับชาติมาเกิดแน่นอน เพราะมันใช้CCD 10.2MPเช่นกัน
แต่กลับชาติมาเกิดใหม่ทั้งที มันก็น่าจะมีอะไรดีขึ้นกว่าเดิมบ้างหละนะ
สัมผัสแรกเมื่อเทียบขนาดกับ D90 คิดว่ามันเล็กหรือ?
ผมไม่อยากใช้คำว่า"เล็ก" เพราะคำว่า"กระทัดรัด"ดูเป็นคำที่ใช้อธิบายได้ดีกว่า
ผมเป็นคนที่มือค่อนข้างใหญ่ และจะมีปัญหากับการจับถือกล้องที่มีขนาดเล็กเสมอ เนื่องจากจะต้องกรีดนิ้วก้อยแสดงอาการแต๋วแตกทุกครั้งที่ต้องหยิบกล้องตัวจิ๋วๆพวกนี้ ก็ตรูไม่รู้ว่าจะเอานิ้วก้อยไปไว้ที่ไหนนี่หว่า จะติดทิ้งซะก็เสียดาย ฮา......
แต่สำหรับ D3000 ผมไม่เดือดร้อนแล้ว เและไม่จำเป็นต้องโอดกาเหว่าตามหากริปมาเสริมฐานกล้องให้วุ่นวาย เพราะผมสามารถหุบนิ้วก้อยกระชับกับกริปของตัวกล้องได้อย่างพอดิบพอดี จนสามารถสรุปว่า มันเป็นกล้องขนาดกระทัดรัด ที่ถูกออกแบบมาให้สามารถจับถือได้อย่างถนัดมือทีเดียวแหละ
ใครที่มือใหญ่ก็เลิกกังวลได้แล้วครับ กล้องรุ่นนี้ไม่ต้องเฉือนนิ้วก้อยทิ้ง ก็ยังสามารถจับถือได้อย่างเต็มมือ
กล้องราคากระทัดรัดแบบนี้
ให้LCDขนาด 3 นิ้วมาซะด้วย
มองสบายเลยแหละ
มันอาจจะไม่ได้หรูหราวิจิตรบรรจงสร้าง 920,000 pixels ที่พรั่งพร้อมไปด้วย coatingกันสะท้อนหรูๆหราๆ แบบกล้องที่มีราคาสูงกว่า แต่ 230,000 pixels ที่ให้มานั้น ผมว่ามันมากพอแล้วแล้วสำหรับการใช้งานในกล้องระดับนี้ แถมระดับความสว่างของจอก็ยังเหลือเฟือ รวมไปถึงสามารถแสดงสีได้ใกล้เคียงกับความถูกต้องจนสามารถพึ่งพิง อ้างอิงปรับแก้WBได้ระดับหนึ่ง ( กล้องตัวที่ทดสอบจะติดเหลืองนิดหน่อยและอมม่วงนิดๆ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของจอLCDหลังกล้อง เพราะหากคุ้นเคยและปรับตัวได้ ก็สามารถใช้งานได้แบบสบายๆ ผิดกับจอของกล้องบางตัวที่มีสีเพี้ยนในลักษณะเฉดสีผิดเพี้ยน )
จอLCD 3" ตัวนี้จะทำหน้าที่สารพัดประโยชน์ ทั้งdisplayภาพ , ดูเมนูต่างๆ และยังแสดงinformation (info) ต่างๆของกล้องในลักษณะของGraphicที่สวยงาม ( สามารถปรับเลือกรูปแบบที่ถูกใจได้ ) ซึ่งinfoที่แสดงนี้ สามารถปรับตั้งให้แสดงโดยอัตโนมัติ หรืออาจจะสั่งแสดงก็ต่อเมื่อกดปุ่มinfoเท่านั้นก็ได้
ส่วนตัวแล้ว ออกจะขัดใจอยู่บ้างว่า ทำไมไม่ใส่eye sensorให้แบบ D60 ( จอจะปิดเองเมื่อเอาหน้าเข้าไปแนบกับกล้อง และจะเปิดเองเมื่อเอาหน้าห่างจากกล้อง ) เพราะหากสั่งให้แสดงinfoในลักษณะauto จอจะดับก็ต่อเมื่อเอานิ้วไปกดปุ่มชัตเตอร์ลงไปครึ่งหนึ่ง หรือ กดปุ่มinfoเพื่อปิดจอชั่วคราว แต่พอยกนิ้วขึ้นจากปุ่มชัตเตอร์ จอinfoก็จะสว่างขึ้นมาทันที บางทีก็อาจจะรู้สึกรำคาญตาได้บ้าง
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ก็สามารถเลือกปรับให้เปิดและปิดด้วยการกดปุ่มinfoแทนก็ได้เช่นกัน
ใช้ไปเถอะ เดี๋ยวก็ชินไปเอง
มันอาจจะไม่ได้หรูหราวิจิตรบรรจงสร้าง 920,000 pixels ที่พรั่งพร้อมไปด้วย coatingกันสะท้อนหรูๆหราๆ แบบกล้องที่มีราคาสูงกว่า แต่ 230,000 pixels ที่ให้มานั้น ผมว่ามันมากพอแล้วแล้วสำหรับการใช้งานในกล้องระดับนี้ แถมระดับความสว่างของจอก็ยังเหลือเฟือ รวมไปถึงสามารถแสดงสีได้ใกล้เคียงกับความถูกต้องจนสามารถพึ่งพิง อ้างอิงปรับแก้WBได้ระดับหนึ่ง ( กล้องตัวที่ทดสอบจะติดเหลืองนิดหน่อยและอมม่วงนิดๆ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของจอLCDหลังกล้อง เพราะหากคุ้นเคยและปรับตัวได้ ก็สามารถใช้งานได้แบบสบายๆ ผิดกับจอของกล้องบางตัวที่มีสีเพี้ยนในลักษณะเฉดสีผิดเพี้ยน )
จอLCD 3" ตัวนี้จะทำหน้าที่สารพัดประโยชน์ ทั้งdisplayภาพ , ดูเมนูต่างๆ และยังแสดงinformation (info) ต่างๆของกล้องในลักษณะของGraphicที่สวยงาม ( สามารถปรับเลือกรูปแบบที่ถูกใจได้ ) ซึ่งinfoที่แสดงนี้ สามารถปรับตั้งให้แสดงโดยอัตโนมัติ หรืออาจจะสั่งแสดงก็ต่อเมื่อกดปุ่มinfoเท่านั้นก็ได้
ส่วนตัวแล้ว ออกจะขัดใจอยู่บ้างว่า ทำไมไม่ใส่eye sensorให้แบบ D60 ( จอจะปิดเองเมื่อเอาหน้าเข้าไปแนบกับกล้อง และจะเปิดเองเมื่อเอาหน้าห่างจากกล้อง ) เพราะหากสั่งให้แสดงinfoในลักษณะauto จอจะดับก็ต่อเมื่อเอานิ้วไปกดปุ่มชัตเตอร์ลงไปครึ่งหนึ่ง หรือ กดปุ่มinfoเพื่อปิดจอชั่วคราว แต่พอยกนิ้วขึ้นจากปุ่มชัตเตอร์ จอinfoก็จะสว่างขึ้นมาทันที บางทีก็อาจจะรู้สึกรำคาญตาได้บ้าง
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ก็สามารถเลือกปรับให้เปิดและปิดด้วยการกดปุ่มinfoแทนก็ได้เช่นกัน
ใช้ไปเถอะ เดี๋ยวก็ชินไปเอง
ปัญหาหลักๆ
สำหรับมือใหม่ที่เริ่มต้นใช้กล้องdigital
คือ ปวดหัวกับเมนูอันแสนจะวุ่นวาย ( เคยมีคนขายD300ภายในเวลา 2สัปดาห์ ด้วยเหตุผลสั้นๆว่า ปวดกบาลเมนู , ถ้าผมเป็นคนขายจะแนะนำให้ไปใช้
Nikon FM2 ครับ
เพราะไม่มีเมนูให้ต้องเข้าไปปรับ ฮาไหมเนี่ย )
อย่ากระนั้นเลย Nikonก็เลยกลัวว่าคนจะหนีกลับไปใช้กล้องฟิล์มกันหมด ฮ่า ไม่ใช่ครับ ผมล้อเล่น
เพราะจริงๆแล้ว ผมเชื่อว่าNikonเข้าใจปัญหาเหล่านี้ดี จึงออกแบบให้กล้องรุ่นนี้เป็นกล้องที่มือใหม่สามารถเข้าถึงmenuต่างๆได้ง่ายขึ้นกว่ากล้องรุ่นที่ผ่านๆมา
เพียงแต่กดปุ่ม info เพื่อให้จอหลังกล้องแสดง informationต่างๆ ( หากแสดงอยู่แล้ว เพราะตั้งไว้เป็นauto ก็ไม่ต้องกดปุ่ม infoนะครับ เพราะจะเป็นการปิดการแสดงข้อมูล ) เมื่อจอหลังกล้องแสดงinformation ต่างๆแล้ว ก็ให้กดปุ่ม [i] ( ปุ่มซ้ายล่าง หลังกล้อง ) หน้าจอก็จะเข้าสู่menuหลักๆทันที จากนั้นก็สามารถเลือกปรับได้ตามต้องการ
เห็นไหมง่ายมากเลย
คราวนี้ไม่ต้องขายกล้องเพราะปวด'บาล เรื่องเมนูวุ่นวายอีกแล้ว
อย่ากระนั้นเลย Nikonก็เลยกลัวว่าคนจะหนีกลับไปใช้กล้องฟิล์มกันหมด ฮ่า ไม่ใช่ครับ ผมล้อเล่น
เพราะจริงๆแล้ว ผมเชื่อว่าNikonเข้าใจปัญหาเหล่านี้ดี จึงออกแบบให้กล้องรุ่นนี้เป็นกล้องที่มือใหม่สามารถเข้าถึงmenuต่างๆได้ง่ายขึ้นกว่ากล้องรุ่นที่ผ่านๆมา
เพียงแต่กดปุ่ม info เพื่อให้จอหลังกล้องแสดง informationต่างๆ ( หากแสดงอยู่แล้ว เพราะตั้งไว้เป็นauto ก็ไม่ต้องกดปุ่ม infoนะครับ เพราะจะเป็นการปิดการแสดงข้อมูล ) เมื่อจอหลังกล้องแสดงinformation ต่างๆแล้ว ก็ให้กดปุ่ม [i] ( ปุ่มซ้ายล่าง หลังกล้อง ) หน้าจอก็จะเข้าสู่menuหลักๆทันที จากนั้นก็สามารถเลือกปรับได้ตามต้องการ
เห็นไหมง่ายมากเลย
คราวนี้ไม่ต้องขายกล้องเพราะปวด'บาล เรื่องเมนูวุ่นวายอีกแล้ว
โอววววว 11จุด
นี่มันNikon Muti-CAM 1000 autofocus module ตัวเดียวกันกับที่ใช้ใน D200 ,D90 ,D80 รวมถึงD5000 เลิกบ่นได้แล้วเนอะว่าจุดน้อย ไม่พอใช้
แถมยังสามารถเปิดปิดช่องตาราง(grid)ในช่องมองภาพได้อีกด้วยนะ เลิกบ่นว่า ถ่ายมาทีไรฟ้าเอียงทุกทีได้แล้วนะ มีตารางให้ใช้เล็งเทียบแล้วครับ
* เขย่าฝุ่น โอ๊ย ของธรรมดาๆ ใครๆเขาก็มีกัน ลองไม่มีสิ เชยยยยยยยยยย
--------------------------------------------------------------------
จุ๊ๆๆๆๆ อย่าส่งเสียงดังไป เดี๋ยวพวกใช้D3ได้ยิน กล้องไรฟระ แพงก็แพง สั่งเปิดปิดตารางในกล้องก็ไม่ได้ เขย่าฝุ่นก็ไม่มี
อยากจะมีตารางกับเขา ก็ต้องเสียเงินซื้อโฟกัสซิ่งสกรีนใหม่
ซื้อทำไมกล้องแพงๆแบบนั้น
ฮา.........
สุดยอดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับมือใหม่หัดถ่ายภาพจริงๆครับ ผมไม่คิดว่าจะมีใครทำให้กันมากมายถึงขนาดนี้ เพราะหลังจากที่หมุนdial ไปที่ตำแหน่ง GUIDE กล้องก็จะทำหน้าที่เป็นไกด์นำเที่ยว ศึกษาวิธีการใช้กล้อง ยัง ยัง เท่านั้นยังไม่พอ หลังจากผู้ใช้เลือกจนสาแก่ใจและปรับกล้องตามคำแนะนำแล้ว ที่เหลือก็แค่ยกเล็ง แล้วกดปุ่มเท่านั้น ง่ายมากกกกกกก
GUIDE MENU นอกจากจะแสดงinfomation ที่สำคัญหลักแล้ว ก็จะมีmenuให้เลือก 3 เรื่องหลักๆ คือ
- Shoot ก็จะมีmenuแยกย่อยแบ่งออกไปเป็นการถ่ายภาพขั้นพื้นฐาน เช่น ถ่ายวิวทิวทัศน์ ถ่ายมาโคร เป็นยังไง กล้องจะสอนการปรับตั้งค่าต่างๆให้ จากนั้นก็กดชัตเตอร์ ง่ายมากกกก หรือ อาจจะเลือกการถ่ายภาพขั้นสูงขึ้น เช่น ถ่ายคนแบบหน้าชัดหลังเบลอ หรือ ถ่ายวัตถุเคลื่อนไหวให้หยุดนิ่ง กล้องก็จะสอนว่าจะต้องปรับตั้งค่าช่องรูรับแสงในลักษณะใด หรือ ปรับตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ที่ระดับใด จากนั้นก็กดชัตเตอร์ ง่ายมากกกกกกกก
- View / delete ก็จะสอนการดูภาพ การลบภาพ
- Set up จะเป็นการปรับแต่งค่าต่างๆของกล้องตามที่ต้องการ โดยค่าที่ปรับตั้งใหม่นี้จะไม่มีผลกับค่าที่ปรับตั้งไว้ในmode อื่น แต่จะมีผลเฉพาะในmode guideเท่านั้นครับ
จริงแล้ว GUIDE mode ก็คือ auto mode ชนิดหนึ่งนั่นเอง แต่เป็นAuto mode ที่กล้องจะสอนให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจกับวิธีการถ่ายภาพในลักษณะต่างๆได้ ผิดกับพวกgreen zone หรือ auto modeบางจำพวก ที่ฉันจะทำแบบเนี้ยยยย นายแค่เล็งๆกดๆชัตเตอร์ไปเถอะ ไม่ต้องมารู้หรอกว่าฉันจะคิดยังไง
ฮ่า..... ใครจะมาเรียกว่าเป็นmodeปัญญาอ่อนไม่ได้นะเฟ้ย เคืองกันตายเลย ต้องเรียกว่าเป็น mode "ยิ่งใช้ ยิ่งฉลาด"
ดังนั้น คำถามฮอทฮิตติดชาร์ท เช่น พี่งับ ถ่ายคนยังไงให้หน้าชัดหลังเบลอ , ถ่ายรถวิ่งยังไงให้คมชัดเหมือนหยุดอยู่กับที่ ก็ควรจะได้รับการปัดเป่าให้บรรเทาเบาบางลงได้ระดับหนึ่ง
Active
D-Lighting
พูดไปทำไมมี อ้าวแล้วไม่พูดเนี่ย มือใหม่จะรู้จักหรือเปล่า ก็บอกว่ากล้องสำหรับมือใหม่ไม่ใช่หรือ ฮ่า.......
เจ้า ADL หรือ Active D-Lighting เป็นระบบในการปรับแต่งระดับความสว่างของภาพที่ได้จากกล้อง โดยกล้องจะพยายามเก็บรายละเอียดในส่วนสว่าง และในส่วนเงามืดให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้
ปกติในกล้องรุ่นสูงกว่านี้ Nikonจะแบ่งระดับของActive D-Lighting ออกเป็น 3-4ระดับ คือ low , normal , high , extra high แต่สำหรับ D3000 จะมีแค่ on กับ off เท่านั้น
โดยกล้องจะทำการคิดแทนผู้ใช้ ซึ่งต้องเรียกว่า Auto Active D-lighting เพราะกล้องจะตัดสินใจเองว่า จะปรับแต่งภาพเพียงแค่ไหน เพราะวิธีการของauto ADL อาจจะมีตั้งแต่การจงใจถ่ายให้underลงมา 1/3 ถึง 2/3 stops หรือไม่underเลย ขึ้นกับ scene recognize ของกล้อง และกล้องก็จะprocessภาพให้scene recoginzeเช่นเดียวกัน
ภาพตัวอย่างข้างล่าง จงใจเลือกsceneที่ย้อนแสงอย่างแรง และมีความแตกต่างระหว่างส่วนสว่าง และส่วนมืดกันอย่างมาก เมื่อเปิด Auto ADL พบว่ากล้องจงใจถ่ายให้underลงมาถึง 2/3 stops แล้วก็จัดการprocessภาพ ซึ่งจะเห็นว่าสามารถเก็บรายละเอียดในส่วนสว่างที่overจนหลุดไปแล้วให้กลับคืนมาได้ และเรียกรายละเอียดในส่วนมืดให้แสดงออกมาได้ด้วยเช่นกัน
พูดไปทำไมมี อ้าวแล้วไม่พูดเนี่ย มือใหม่จะรู้จักหรือเปล่า ก็บอกว่ากล้องสำหรับมือใหม่ไม่ใช่หรือ ฮ่า.......
เจ้า ADL หรือ Active D-Lighting เป็นระบบในการปรับแต่งระดับความสว่างของภาพที่ได้จากกล้อง โดยกล้องจะพยายามเก็บรายละเอียดในส่วนสว่าง และในส่วนเงามืดให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้
ปกติในกล้องรุ่นสูงกว่านี้ Nikonจะแบ่งระดับของActive D-Lighting ออกเป็น 3-4ระดับ คือ low , normal , high , extra high แต่สำหรับ D3000 จะมีแค่ on กับ off เท่านั้น
โดยกล้องจะทำการคิดแทนผู้ใช้ ซึ่งต้องเรียกว่า Auto Active D-lighting เพราะกล้องจะตัดสินใจเองว่า จะปรับแต่งภาพเพียงแค่ไหน เพราะวิธีการของauto ADL อาจจะมีตั้งแต่การจงใจถ่ายให้underลงมา 1/3 ถึง 2/3 stops หรือไม่underเลย ขึ้นกับ scene recognize ของกล้อง และกล้องก็จะprocessภาพให้scene recoginzeเช่นเดียวกัน
ภาพตัวอย่างข้างล่าง จงใจเลือกsceneที่ย้อนแสงอย่างแรง และมีความแตกต่างระหว่างส่วนสว่าง และส่วนมืดกันอย่างมาก เมื่อเปิด Auto ADL พบว่ากล้องจงใจถ่ายให้underลงมาถึง 2/3 stops แล้วก็จัดการprocessภาพ ซึ่งจะเห็นว่าสามารถเก็บรายละเอียดในส่วนสว่างที่overจนหลุดไปแล้วให้กลับคืนมาได้ และเรียกรายละเอียดในส่วนมืดให้แสดงออกมาได้ด้วยเช่นกัน
แต่ต้องไม่ลืมด้วยนะครับว่า ไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ
การใช้Active D-Lighting จะทำให้เกิดNoiseเพิ่มขึ้นมาพอสมควรทีเดียว เพราะมันจะเหมือนกับเวลาที่เราถ่ายมาแล้วติดunder แล้วใช้photoshopทำการยกcurve หรือ ปรับ levelแก้ความสว่างนั่นแหละครับ
ทำได้ดีกว่า
D200 กล้องรุ่นสูงกว่าเมื่อ3ปีที่แล้วซะอีก
คือจะเก็บรายละเอียดในส่วนสว่างได้สูงถึง +3.3 stops ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าคู่แข่งอีกต่อไปแล้ว ในขณะเดียวกันก็ยังเก็บรายละเอียดในส่วนมืดได้ดีเช่นกัน
หมายเหตุ เลือก picture control อยู่ที่ Standard และparameterต่างๆอยู่ที่ 0 ,ปิด Active D-lighting
จาก s-curveนี้ บอกได้ว่า ที่ค่า Standard กล้องตัวนี้ให้ค่าcontrastที่ไม่ได้จัดจ้านนัก , น่าจะยึดหลักสไตล์กล้องสำหรับมือใหม่ ถ่ายออกมาไม่เสียง่ายๆ แถมยังเอาไปปรับcontrastเพิ่มในphotoshopได้ไม่ยาก
อาจจะมีคนสงสัยว่าหากเปิดActive D-Lighting แล้วจะมีค่าDynamic Range เพิ่มขึ้นหรือไม่ เพิ่มขึ้นเท่าไหร่
ตรงนี้ตอบยาก คือตอบว่าค่า DRจะเพิ่มขึ้นในลักษณะที่ได้จากการprocessของกล้อง แต่เพิ่มขึ้นเท่าไหร่นั้น คาดเดาได้ยาก เนื่องจากสิ่งที่ได้มาไม่ได้ตรงไปตรงมา แต่จะขึ้นกับsceneต่างๆที่กล้องสามารถตรวจเช็คเทียบได้กับฐานข้อมูลในกล้องเอง
เอาหน่า รู้ไปก็แค่นั้นแหละ อย่างน้อยขึ้นสูงลงต่ำ มีไม่น้อยกว่า 8stopsแน่นอนครับ
คือจะเก็บรายละเอียดในส่วนสว่างได้สูงถึง +3.3 stops ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าคู่แข่งอีกต่อไปแล้ว ในขณะเดียวกันก็ยังเก็บรายละเอียดในส่วนมืดได้ดีเช่นกัน
หมายเหตุ เลือก picture control อยู่ที่ Standard และparameterต่างๆอยู่ที่ 0 ,ปิด Active D-lighting
จาก s-curveนี้ บอกได้ว่า ที่ค่า Standard กล้องตัวนี้ให้ค่าcontrastที่ไม่ได้จัดจ้านนัก , น่าจะยึดหลักสไตล์กล้องสำหรับมือใหม่ ถ่ายออกมาไม่เสียง่ายๆ แถมยังเอาไปปรับcontrastเพิ่มในphotoshopได้ไม่ยาก
อาจจะมีคนสงสัยว่าหากเปิดActive D-Lighting แล้วจะมีค่าDynamic Range เพิ่มขึ้นหรือไม่ เพิ่มขึ้นเท่าไหร่
ตรงนี้ตอบยาก คือตอบว่าค่า DRจะเพิ่มขึ้นในลักษณะที่ได้จากการprocessของกล้อง แต่เพิ่มขึ้นเท่าไหร่นั้น คาดเดาได้ยาก เนื่องจากสิ่งที่ได้มาไม่ได้ตรงไปตรงมา แต่จะขึ้นกับsceneต่างๆที่กล้องสามารถตรวจเช็คเทียบได้กับฐานข้อมูลในกล้องเอง
เอาหน่า รู้ไปก็แค่นั้นแหละ อย่างน้อยขึ้นสูงลงต่ำ มีไม่น้อยกว่า 8stopsแน่นอนครับ
คือ
จะว่ายังไงดีนะ กล้องราคาเบาๆตัวนี้ ให้ค่า AWBที่แม่นยำ พึ่งพาได้มากๆ
โดยเฉพาะกลางแดด หรือแม้แต่ภายใต้แสงจากหลอด fluorescent
D3000 ยังคงยึดหลักการของการเป็นกล้องสำหรับมือใหม่อย่างเหนียวแน่น เพราะfunction noise reduction ก็ยังคงใช้หลักAutoอยู่ดี และยังผนวกLong exposure Noise reduction เข้าไปด้วย โดยจะเริ่มทำงานเมื่อใช้ชัตเตอร์สปีดนานกว่า 8วินาที
ระบบHigh ISO Noise reductionจะเริ่มทำงานเมื่อใช้ค่าISOตั้งแต่800ขึ้นไป ( ที่ ISO 100 ,200 และ 400 จะยังไม่ทำงาน , แมนซะเหลือเกิน )
ผมเลือกตัวอย่างง่ายๆ โดยใช้ปกDVDเพื่อแสดงรายละเอียดของภาพที่ถูกบันทึก และสร้างเงามืดเพื่อแสดงluminance noise หรือ black noiseได้เป็นอย่างดี
( ถ่ายด้วยเลนส์ 105micro f/2.8 nano เพื่อตัดปัญหาเรื่องของคุณภาพของเลนส์ kit )
D3000 ยังคงยึดหลักการของการเป็นกล้องสำหรับมือใหม่อย่างเหนียวแน่น เพราะfunction noise reduction ก็ยังคงใช้หลักAutoอยู่ดี และยังผนวกLong exposure Noise reduction เข้าไปด้วย โดยจะเริ่มทำงานเมื่อใช้ชัตเตอร์สปีดนานกว่า 8วินาที
ระบบHigh ISO Noise reductionจะเริ่มทำงานเมื่อใช้ค่าISOตั้งแต่800ขึ้นไป ( ที่ ISO 100 ,200 และ 400 จะยังไม่ทำงาน , แมนซะเหลือเกิน )
ผมเลือกตัวอย่างง่ายๆ โดยใช้ปกDVDเพื่อแสดงรายละเอียดของภาพที่ถูกบันทึก และสร้างเงามืดเพื่อแสดงluminance noise หรือ black noiseได้เป็นอย่างดี
( ถ่ายด้วยเลนส์ 105micro f/2.8 nano เพื่อตัดปัญหาเรื่องของคุณภาพของเลนส์ kit )
เดี๋ยวจะหาว่าเพราะเป็นเลนส์เทพจึงให้ผลลัพธ์เช่นนั้น
เพียงเพราะผมต้องการตัดปัจจัยเรื่องเลนส์ออกไปก่อนเท่านั้น เพื่อที่จะบอกว่ากล้องเองก็มีสิ่งดีๆเหมือนกัน
รูปนี้ ถ่ายที่ ISO 1600 , NR on วางบนขาตั้ง ถ่ายยังไง ดูEXIFเอาครับ
เพียงเพราะผมต้องการตัดปัจจัยเรื่องเลนส์ออกไปก่อนเท่านั้น เพื่อที่จะบอกว่ากล้องเองก็มีสิ่งดีๆเหมือนกัน
รูปนี้ ถ่ายที่ ISO 1600 , NR on วางบนขาตั้ง ถ่ายยังไง ดูEXIFเอาครับ
มามะ
มาจับผิดกันใกล้ๆ ดูกันที่ 100% กันเลย
ตัวหนังสือยังพอจะอ่านได้ไม่ลำบากนัก ถ้าเป็นสมัยก่อนหละก้อ สาปส่งกันไปตั้งแต่ISO800แล้วกระมัง
ตัวหนังสือยังพอจะอ่านได้ไม่ลำบากนัก ถ้าเป็นสมัยก่อนหละก้อ สาปส่งกันไปตั้งแต่ISO800แล้วกระมัง
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=37042
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น